Dance Dance Revolution Teal Glitter

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

องค์ประกอบการถ่ายภาพ,วิดีโอ

6.องค์ประกอบการถ่ายภาพ,วิดีโอ


ภาพคน
 

เส้นตัดทั้ง จุด A  B  C  D

คือ จุดตัดที่ต้องวางสิ่งที่เราต้องการให้เห็นเด่นในภาพวางสายตาไม่ให้ต่ำไปกว่าระดับเส้นแนวนอน AB

วางหน้าคนไว้เส้นแนตั้งด้านAC เมื่อคนหันหน้า ไปทางใดให้เว้นว่างด้านนั้นมากกว่า

หันหน้าไปทางขวามือเว้นช่องว่างด้านขวามากกว่าซ้าย

ภาพนี้หันหน้าไปทางซ้ายมือให้เว้นช่องว่างด้านซ้ายมากขึ้น



เมื่อถ่ายภาพใกล้ วางดวงตาไว้ไม่ให้ต่ำกว่าระดับเส้นแนวนอนด้านบน



และเว้นช่องว่างไว้ด้านหนึ่งเพื่อใส่ตัวโลโก้ หรือชื่อรายการ ชื่อพิธีกร

 

จัดภาพไว้ตรงกลางเมื่อมีส่วนประกอบอื่นๆเข้ามา แต่ระดับสายตาให้คงระนาบเดิม



ซูมภาพออกมา – ภาพชัดลึกตลอดทั้งด้านหน้าหลัง เห็นองคประกอบทั้งหมดไม่เน้นจุดเด่นใดๆ



การเน้นภาพด้วยการปรับความชัด ในแต่ละจุดเราแรกสั้นๆว่าการทำ   D-Focus

ปรับความชัดด้านหน้าเน้นแก้วกาแฟ




ภาพนี้ปรับความชัดที่ด้านหลังเน้นตัวแบบ



กรอบสีต่างๆคือสัดส่วนการถ่ายภาพคน -สีม่วง ภาพใกล้ Close-up

กรอบสีเขียว – ภาพใกล้ขนาดกลาง – Medium Close-up
กรอบสีน้ำเงิน – ภาพขนาดกลาง – Medium
กรอบสีแดง ภาพไกล ทั้งตัว LS shot / full shot


การจัดองค์ประกอบภาพในการถ่ายวิดีโอ

การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์
 
 จุดตัดกัน C วางจุดเด่นไว้ มีเส้นสีขาวนำสายตา ทำให้ภาพดูลึกมีมิติ


จุดตัดกัน A วางจุดเด่นไว้ มีเส้นคลื่นฟองสีขาวกระจายเป็นแนวเน้นจุดเด่นที่คน
 

วางภาพที่จุดตัด C เส้นขอบฟ้าอยู่สูง เน้นภาพด้านหน้า 
 
เส้นตัดแนวนอนต้องไม่อยู่กลางภาพ ภาพนี้เส้นอยุ่สูงกว่ากึ่งกลางภาพ เน้นภาพด้านหน้า

เส้นนำสายตา พุ่งสู่จุดหมาย  
 


เส้นโค้ง รู้สึกอ่อนโยน เชื่องช้า 

ใช้เส้นนำสายตา มุมระดับสายตา 


ถ่ายมุมเงยกล้อง มุมต่ำ ภาพวัตถุเด่นมีพลัง 


ถ่ายมุมสูง กดกล้องลง วัตถุดูด้อยค่า

การถ่ายภาพย้อนแสง 
 
การภาพกลางคืน 


การใช้ ภาพมีกรอบเป็นฉากด้านหน้า 
     ที่มา http://www.vdoschool.com/vdo/index.php/photographer/62-composition-.html

เเนวคิดในการสร้างงานวิดีโอ

5.เเนวคิดในการสร้างงานวิดีโอ




ก่อนที่ลงมือสร้างผลงานวิดีโอสักเรื่อง จะต้องผ่านกระบวนการคิด วางแผนมาอย่างรอบครอบ ไม่ใช่ไปถ่ายวิดีโอแล้วก็นำมาตัดต่อเลย
เพราะปัญหาที่มักเกิดขึ้นเสมอก็คือการที่ไม่ได้ภาพตามที่ต้องการ เนื้อหาที่ถ่ายมาไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการนำเสนอ ในที่นี้ขอแนะนำแนวคิดในการทำงาน                              
วิดีโออย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามความต้องการ โดยมีลำดับแนวคิดของงานสร้างวิดีโอเบื้องต้น ดังนี้
1.  เขียน Storyboard
สิ่งแรกที่เราควรเรียนรู้ก่อนสร้างงานวิดีโอ ก็คือ
การเขียน
 Storyboard คือ การจินตนาการฉากต่างๆ ก่อนที่จะถ่ายทำจริง เพียงเขียนวัตถุประสงค์ของงานให้ชัดเจนว่าต้องการสื่ออะไรหรืองานประเภทไหน เขียนออกมาเป็นฉาก เรียงลำดับ 1, 2, 3,.......
2.  เตรียมองค์ประกอบต่างๆ ที่ต้องใช้
ในการทำงานวิดีโอ เราจะต้องเตรียมองค์ประกอบต่างๆ
ให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นไฟล์วิดีโอ ไฟล์ภาพนิ่ง ไฟล์เสียง หรือไฟล์ดนตรี



3.  ตัดต่องานวิดีโอ
การตัดต่อคือการนำองค์ประกอบต่างๆ ที่เตรียมไว้มาตัดต่อเป็นงานวิดีโอ งานวิดีโอจะออกมาดีน่าสนใจเพียงใดขึ้นอยู่กับการตัดต่อเป็นสำคัญ                                            ซึ่งเราจะต้องเรียนรู้การตัดต่อในบทต่อไปก่อน
4.  ใส่เอ็ฟเฟ็กต์/ตัดต่อใส่เสียง
ในขั้นตอนการตัดต่อ เราจะต้องตกแต่งงานวิดีโอด้วยเทคนิคพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นสี การใส่ข้อความ หรือเสียงดนตรี ซึ่งจะช่วยให้งานของเรามีสีสัน                      และน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
5.  แปลงวิดีโอ เพื่อนำไปใช้งานจริง
ขั้นตอนการแปลงวิดีโอเป็นขั้นตอนสุดท้าย ในการทำงานวิดีโอที่เราได้ทำเรียบร้อยแล้วนั้นไปใช้งาน โปรแกรม Ulead Video Studio สามารถทำได้หลายรูปแบบ                             เช่น ทำเป็น VCD, DVD หรือเป็นไฟล์ WMV สำหรับนำเสนอทางอินเทอร์เน็ต
   ที่มา https://sites.google.com/site/vdoclassroom/unit1/i1-2-naewkhid-kar-srang-widixo

มาตรฐานการเเพร่ภาพวิดีโอ

4.มาตรฐานการเเพร่ภาพวิดีโอ

                                               
มาตรฐานการแพร่ภาพวีดีโอ
                มาตรฐานการแพร่ภาพทั้งสาม ได้แก่ NTSC, PAL และ SECAM เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้กันในหลายพื้นที่ทั่วโลก และได้มีการพัฒนามาตรฐานใหม่ขึ้นมา เรียกว่า “HDTV (High-Definition Television” ทำให้ผู้ผลิตมัลติมีเดียจำเป็นที่จะต้องทราบถึงมาตรฐานที่ใช้งานในแต่ละพื้นที่อย่างเหมาะสม
                - National Television System Committee (NTSC) เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการตั้งมาตรฐานที่เกี่ยวกับโทรทัศน์และวีดีโอในสหรัฐ มาตรฐานนี้เป็นการเข้ารหัสข้อมูลแบบสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์  กำหนดให้สร้างภาพด้วยเส้นในแนวนอน 525 เส้นต่อเฟรม ในอัตรา 30 เฟรมต่อวินาที มีสี 16 ล้านสีที่แตกต่างกันและอัตรารีเฟรช เป็น 60 Halt-Frame (Interlace)ต่อวินาที แต่บนจอภาพคอมพิวเตอร์นั้นจะใช้วิธีการที่เรียกว่า “Progressive-Scan” ซึ่งมีความแตกต่างจากจอภาพโทรทัศน์ตรงที่สามารถสร้างภาพเป็นแบบเฟรมต่อเฟรม โดยไม่มีการ Interlacing
                - Phase Alternate Line (PAL)  เป็นมาตรฐานของโทรทัศน์และวีดีโอที่นิยมในแถบยุโรป รวมถึงไทยด้วย เป็นการสร้างภาพจากแนวนอน 625 เส้นต่อเฟรม ในอัตรา 25 เฟรมต่อวินาทีและทำการแสดงภาพด้วยวิธี Interlacing เช่นกันแต่จะแสดงภาพในอัตรารีเฟรช เป็น 50 Halt-Frame ต่อนาที
                - Sequential Color and Memory (SECAM) เป็นมาตรฐานของการแพร่สัญญาณโทรทัศน์และวีดีโอที่ใช้กันในฝรั่งเศส ยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง และประเทศในพื้นที่ใกล้เคียง ทำการแพร่สัญญาณแบบอนาลอก ส่วนการสร้างภาพจะเป็น 819 เส้น ด้วยอัตรารีเฟรช 25 เฟรมต่อวินาที ซึ่งจะแตกต่างจากมาตรฐาน NTCS และ PAL ในเรื่องการผลิต วิธีการแพร่ภาพออกอากาศ และจากสาเหตุที่ระบบนี้ไม่แตกต่างจากระบบ PAL มากนัก เครื่องรับโทรทัศน์ในยุโรปจึงทำการพัฒนาให้สามารถใช้งานได้ทั้งระบบ PAL และ SECAM
- High Definition Television (HDTV) เป็นเทคโนโลยีของการแพร่ภาพโทรทัศน์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อแสดงภาพที่มีความละเอียดสูง คือ 1280x720 ซึ่งเป็นความละเอียดสำหรับการแสดงภาพเช่นเดียวกับโรงภาพยนต์ แต่ในขณะพัฒนานั้นได้มีการโต้เถียงกันระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรมโทรทัศน์กับกลุ่มอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ว่าจะใช้ความละเอียดจอภาพเป็น1920x1080 พิกเซล หลังจากนั้นสรุปได้ว่า ความละเอียดนี้ไม่เหมาะสม ดังนั้นมาตรฐาน HDTV จึงได้กำหนดให้มีความละเอียดของจอภาพเป็น 1280x720
ที่มา http://kruoong.blogspot.com/2011/07/blog-post.html


ลักษณะการทำงานของวิดีโอ

3.ลักษณะการทำงานของวิดีโอ



                                       


การเลือกวีดีโอมาใช้งานอย่างเหมาะสม สามารถสร้างความน่าสนใจให้กับมัลติมีเดียได้ ซึ่งการนำวีดีโอใดๆ มาใช้งานนั้น ต้องปฏิบัติอย่างถูกต้องตามลิขสิทธิ์ จะต้องขออนุญาตให้ถูกต้อง ตามกฏหมายก่อนนำมาใช้
การทำงานของวิดีโอมีหลายประเภทซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมและความต้องการของผู้ใช้งาน เพื่อให้เข้าใจและสามารถเรียนรู้พร้อมกับสร้างวิดีโอได้ด้วยตนเองคุณจึงไม่ควรรอช้าที่จะทำความรู้จักกับการสร้างวิดีโอด้วยตนเองการสร้างสรรค์ผลงานของตนเองด้วยวิดีโอสามารถทำได้ง่ายหากทุกคนสามารถเรียนรู้และเข้าใจการสอนใช้โปรแกรมการสร้างผลงานในรูปแบบวิดีโอ เช่น วิดีโอสอนการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ วิดีโอการสอนสำหรับครู วิดีโอนำเสนอผลงาน Presentation วิดีโอWedding วิดีโอหนังสั้นภาพยนตร์ ซึ่งโปรแกรมที่สามารถใช้สร้างวิดีโอในปัจจุบันมีความหลากหลายให้ผู้ใช้งานเลือกใช้เพื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของตนเอง
กล้องวีดีโอเป็นการนำเอาหลักการของแสงที่ว่า “แสงตกกระทบกับวัตถุแล้วสะท้อนสู่เลนส์ในดวงตาของมนุษย์ทำให้เกิดการมองเห็น” มาใช้ในการสร้างภาพร่วมกับวงจรอิเล็กทรอนิกส์ โดยภาพที่ได้จะถูกบันทึกเป็นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่เรียกว่า “สัญญาณอนาลอก” ประกอบด้วยข้อมูลสี 3 ชนิด คือ แดง เขียว น้ำเงิน (Red, Green, Blue : สีRGB) และสัญญาณสำหรับเชื่อมความสัมพันธ์ของข้อมูล (Synchronization Plus : สัญญาณ SYNC) สัญญาณวีดีโอจะถูกส่งไปบันทึกยังตลับวีดีโอ (Video Cassette Recorder : VCR) โดยการแปลงสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์เป็นสัญญาณดิจิตอลและบันทึกลงบนอุปกรณ์บันทึกข้อมูลด้วยหลักการของสนามแม่เหล็ก การบันทึกจะต้องบันทึกผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า “หัวเทปวีดีโอ” ที่สามารถบันทึกได้ทั้งภาพ เสียง และข้อมูลควบคุมการแสดงภาพ นอกจากบันทึกเป็นม้วนเทปวีดีโอแล้วยังสามารถบันทึกในรูปของสัญญาณวิทยุได้อีกด้วย โดยอาศัย NTSC, PAL หรือ SECAM เพื่อช่วยในการส่งสัญญาณให้สามารถแพร่ภาพทางโทรทัศน์ได้
การนำวีดีโอไปใช้งาน
วีดีโอสามารถนำไปใช้งานได้ในหลาย ๆ ลักษณะซึ่งสามารถแสดงดังต่อไปนี้
– ด้านบันเทิง (Video Entertainment) สามารถบันทึกมิวสิกวีดีโอ รายการโทรทัศน์ที่ชื่นชอบ บันทึกการแสดงสด หรือในงานเลี้ยงสังสรรต่าง ๆ เพื่อนำกลับมาชมได้อีกครั้ง
– ด้านการนำเสนองาน (Video Presentation) สำหรับแนะนำสินค้า กิจกรรมด้านต่าง ๆ
– ด้านงานสะสมวีดีโอ (Video Album) สามารถผลิต Video ที่ใช้เพื่อบันทึกภาพแห่งความทรงจำ รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่กระทำร่วมกันขณะที่เราศึกษาอยู่
– ด้านการศึกษา (Education Program) ผลิตสื่อการเรียนการสอนของอาจารย์ในรูปแบบของวีดีโอเทป ซีดีรอม หรือภาพนิ่ง เพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนได้ทั้งในชั้นเรียน และทางออนไลน์
      ที่มา    https://sites.google.com/site/m68n34/hnwy-thi1/chnid-khxng-widixo

ชนิดของวิดีโอ

2.ชนิดของวิดีโอ


ชนิดของวิดีโอ
                วิดีโอที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันสามารถแบ่งได้เป็น ชนิดคือ
                1. วิดีโออะนาลอก (Analog Video) เป็นวีดีโอที่ทำการบันทึกข้อมูลภาพและเสียงให้อยู่ในรูปของสัญญาณอนาลอก (รูปของคลื่นสำหรับวีดีโอประเภทนี้ เช่น VHS (Video Home System) ซึ่งเป็นม้วนเทปวีดีโอที่ใช้ดูกันตามบ้าน เมื่อทำการตัดต่อข้อมูลของวีดีโอชนิดนี้ อาจจะทำให้คุณภาพลดน้อยลง
      2. วีดีโอดิจิตอล (Digital Video)  เป็นวีดีโอที่ทำการบันทึกข้อมูลภาพและเสียงที่ได้มาจากกล้องดิจิตอล ให้อยู่ในรูปของสัญญาณดิจิตอล คือ กับ 1 ส่วนการตัดต่อข้อมูลของภาพและเสียงที่ได้มาจากวีดีโอดิจิตอลนั้น จะแตกต่างจากวีดีโออนาลอก เพราะข้อมูลที่ได้จะยังคงคุณภาพความคมชัดเหมือนกับข้อมูลต้นฉบับ การพัฒนาของวีดีโอดิจิตอลส่งผลให้วีดีโออนาลอกหายไปจากวงการมัลติมีเดีย เนื่องจากสัญญาณดิจิตอลสามารถที่จะบันทึกข้อมูลลงบนฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอม ดีวีดี หรืออุปกรณ์บันทึกข้อมูลอื่น ๆ และสามารถแสดงผลบนคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการผลิตมัลติมีเดียบนคอมพิวเตอร์ สามารถเปลี่ยนรูปแบบของสัญญาณอนาลอกเป็นสัญญาณดิจิตอลได้ เพียงแต่ผู้ผลิตมีทรัพยากรทางด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมเท่านั้น
  ที่มา    http://kruoong.blogspot.com/2011/07/blog-post.html

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ VDO



 1.ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ VDO

       ในปัจจุบันงานวิดีโอได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้น ด้วยความสามารถของงานทางด้านมัลติมีเดีย ที่ทำให้การนำ
เสนองานของเราน่าสนใจแล้ว ราคากล้องวิดีโอก็ราคาถูกลงมามากและหาซื้อได้ไม่ยาก พร้อมกับโปรแกรมที่ใช้ในการตัดต่อ
วิดีโอก็มีให้เลือกใช้มากมายและก็ไม่ยากจนเกินไปที่จะเรียนรู้ สำหรับสื่อนี้จะขอนำเสนอการตัดต่อด้วยโปรแกรม  

Ulead Video Studio 8  
เพื่อเป็นพี้นฐานในการตัดต่อ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ดังนี้
      ประโยชน์ของงานวิดีโอ
      1.  แนะนำองค์กรและหน่วยงาน  การสร้างงานวิดีโอเพื่อแนะนำสถานที่ต่างๆ หรือในการนำเสนอข้อมูลภายในหน่วยงาน
และองค์กร เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับผู้ชมผู้ฟังและยังก่อให้เกิดความเข้าใจในตัวงานได้ง่ายขึ้น
      2.  บันทึกภาพความทรงจำ และเหตุการณ์สำคัญต่างๆ เช่น การเดินทางไปท่องเที่ยวในทฃสถานที่ต่างๆ งานวันเกิด
งานแต่งงาน งานรับปริญญางานเลี้ยงของหน่วยงานหรือองค์กร ซึ่งเดิมเราจะเก็บไว้ในรูปแบบภาพนิ่ง
      3.  การทำสื่อการเรียนการสอน คุณครูสามารถสร้างสื่อการสอนในรูปแบบวิดีโอไว้นำเสนอได้หลายรูปแบบ เช่น เป็นวิดีโอ
โดยตรง  เป็นภาพวิดีโอประกอบในโปรแกรม POWER POINT   เป็นภาพวิดีโอประกอบใน Homepage  และอื่นๆ
      4.  การนำเสนอรายงาน วิทยานิพนธ์ และงานวิจัยต่างๆ  ซึ่งปรับเปลี่ยนการนำเสนองานจากรูปแบบเดิม ที่เป็นเอกสารภาพ
ประกอบ แผ่นชาร์จแผ่นใส ให้ทันสมัยเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
      5.  วิดีโอสำหรับบุคคลพิเศษ บุคคลสำคัญในโอกาสพิเศษ อาจหมายถึง  วิทยากรที่เชิญมาบรรยาย  ผู้จะเกษียณอายุจากการ
ทำงาน  เจ้าของวันเกิดคู่บ่าวสาว  โอกาสของบุคคลที่ได้รับรางวัลต่างๆ
       ที่กล่าวมานี้คือส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เรามองเห็นความสำคัญของงานวิดีโอมากขึ้น  และได้รู้ว่าการทำวิดีโอไม่ได้ลงทุนมากและยุ่งยากอย่างที่คิดจากประสบการณ์ในการทำงานวิดีโอ  สรุปได้ว่าวิดีโอที่ดี  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินลงทุนที่ใช้ แต่ขึ้นอยู่กับความปราณีต และความคิดสร้างสรรค์

 

อุปกรณ์ในการตัดต่อวิดีโอ
1.  เครื่องคอมพิวเตอร์คอมพิวเตอร์เป็นอุปกาณ์ชิ้นแรกที่จำเป็นต้องมี ปัจจุบัน
เทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกล ทำให้เราสามารถมีเครื่อง
คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาประหยัด สำหรับ
เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับการตัดต่อควรมีสเป็คเครื่อง
ขั้นต่ำ ดังนี้

* ซีพียู     
 แนะนำ Pentium  4  ความเร็ว  1  GHz  ขึ้นไป
* แรมหรือหน่วยความจำ    ขนาด 512  MB ขึ้นไป
* ฮาร์ดดิสก์    80  GB  ซึ่งปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์
   มีความจุ  ฮาร์ดดิสก์มากพออยู่แล้ว
* ระบบปฏิบัติการ     แนะนำให้ใช้ Windows XP/2000

 
2.  กล้องถ่ายวิดีโอ กล้องถ่ายวิดีโอ มีหลายประเภท หลายรูปแบบ แต่ในที่จะ
กล่าวถึงการใช้งานเฉพาะกล้องถ่ายวิดีโอแบบดิจิตอล หรือ
กล้องดิจิตอลแบบ MiniDV

 
3.  Capture  Card (การ์ดแคปเจอร์ หรือการ์ดจับภาพวิดีโอ)เนื่องเราไม่สามารถนำภาพวิดีโอที่อยู่ ในกล้องวิดีโอมาใช้กับ
เครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง  ดังนั้นเราจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ 
ที่
เรียกว่าการ์ดแคปเจอร์ หรือการ์ดจับภาพวิดีโอ 
ช่วยเปลี่ยน
เสมือนเป็นสื่อกลางในการส่งถ่ายข้อมูล จากกล้องมายังเครื่อง
คอมพิวเตอร์นั้นเอง และ
แคปเจอร์ หรือการ์ดจับภาพวิดีโอ
ก็มีหลายรูปแบบเช่นกัน
4.  ไดรว์สำหรับเขียนแผ่น CD หรือ DVDอุปกรณ์นี้จำเป็นต้องมีหากเราต้องการสร้างงานให้อยู่ในรูปแบบ VCD หรือ DVD ซึ่งในปัจจุบันก็หาซื้อได้ไม่ยาก ราคาก็ไม่แพง
 
        5.  แผ่น CD สำหรับบันทึกข้อมูล
        แผ่น CD-R  (CD-ReWrite หรือ  CD Record) ใช้สำหรับ
บันทึกข้อมูลทั่วไป เช่น ข้อมูลต่างๆ โปรแกรมเพลง รูปภาพ
และภาพยนตร์ สามารถเขียนหรือบันทึกข้อมูลได้เพียงครั้งเดียวจนกว่าจะเต็มแผ่น
        แผ่น  CD-RW (CD-Write) ใช้สำหรับบันทึกข้อมูลทั่วไป
เช่นเดียวกับแผ่น CD-R แต่มีความพิเศษกว่าตรงที่สามารถที่จะ
เขียนหรือบันทึกซ้ำ และลบข้อมูลที่เขียนไปแล้วได้
       6.  ดีวีดีอาร์ดับบลิวไดรว
      ดีวดีดีอาร์ดับบลิวไดรว์ (DVD+-RW  drive) ก็คล้ายกับ
ซีดีอาร์ดับบลิวไดรว์นั่นเอง คือสามารถอ่านและขียนแผ่นดีวีดี
แบบพิเศษ คือแผ่น DVD+-R  และแผ่น DVD+-RW ได้
       รูปแบบของแผ่นดีวีดี       แผ่นดีวีดีอาร์       ดีวีดีอาร์ (DVD+R : Digital Versatile Disc-Recordable)
เป็นแผ่นดีวีดีที่ผู้ใช้สามารถบันทึก หรือเขียนข้อมูลลงไปได้ครั้งเดียว จนกว่าจะเต็มแผ่น มีให้เลือกแบบด้านเดียว และ 2 ด้าน
ในความจุด้านละ 4.7 GB  แผ่น  ประเภทนี้ยังแบ่งออกเป็น 2
มาตรฐาน (จาก 2 ค่าย) คือ แผ่น DVD-R 
   DVD+R

       แผ่นดีวีดีอาร์ดับบลิว
       ดีวีดีอาร์ดับบลิว 
(DVD+RW : Digital Versatile Disc-Re-recordable) เป็นแผ่นดีวีดีที่ใช้เขียน และลบข้อมูลได้
หลายครั้งมีความจุ 4.7 GB





อ้างอิง
http://www.proton.rmutphysics.com/teaching-glossary
http://www.officemate.co.th/B2CV4/Product.aspx?pgID=40277
http://www.tarad.com/ktpsolution/product.php?cat=234806&lang=th